วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

อสม.อบรมพ่อแม่เลี้ยงลูก หวั่นให้เล่นสมาร์ทโฟน ทำพัฒนาการช้า

อสม.อบรมพ่อแม่เลี้ยงลูก หวั่นให้เล่นสมาร์ทโฟน ทำพัฒนาการช้า




        สบส. เตือนผู้ปกครองให้เด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ ดูการ์ตูน หรือเกมทางทีวี หรือทางสมาร์ทโฟน ทำพัฒนาการล่าช้า ไร้จินตนาการ จัดอบรม อสม. กว่าครึ่งแสนคน ร่วมมือ รพ.สต. กระตุ้นแม่หลังคลอดในชุมชน เลี้ยงลูกตามสูตร กิน กอด เล่น เล่า
      
       น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ปัจจุบันอัตราการเกิดเด็กไทยมีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ จากช่วง 5 - 10 ปี ก่อนเดิมเกิดปีละประมาณ 8 แสนคน ลดลงเหลือประมาณปีละ 7 แสนคน แต่ที่น่ากังวลและต้องร่วมมือกันแก้ไขอย่างเร่งด่วนก็คือเรื่องของพัฒนาการเด็กไทย ซึ่งมีความสำคัญต่อการเตรียมเข้าสู่ระบบการศึกษา ผลการสำรวจล่าสุดในปี 2556 กลุ่มเด็กเล็ก อายุ 3 ขวบที่เกิดในปี 2553 พบว่า มีเด็กที่มีพัฒนาการสมวัยเพียงร้อยละ 57 ไม่สมวัยถึงร้อยละ 43 เมื่อติดตามความก้าวหน้าพัฒนาการในเด็กกลุ่มเดิมที่พัฒนาการสมวัย พบว่าร้อยละ 20 มีพัฒนาการไม่เป็นไปตามอายุ ส่วนกลุ่มที่พัฒนาการไม่สมวัยเดิม มีมากถึงร้อยละ 70 ที่พัฒนาการไม่ก้าวหน้า จึงเป็นเรื่องที่น่าห่วงมาก
       
       น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวต่อว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กเล็กมีพัฒนาการช้า เกิดมาจาก 3 สาเหตุ ได้แก่ 1. เด็กไม่ได้รับอาหารที่ดีและมีคุณค่าตั้งแต่อยู่ในครรภ์แม่ โดยเฉพาะเกลือแร่ที่มีผลต่อสมอง คือไอโอดีน ธาตุเหล็ก และ โฟเลต ส่วนใหญ่จะพบในครอบครัวที่ยากจน หรือพบได้ในแม่วัยรุ่น 2. เกิดมาจากการเลี้ยงดูหรือคนเลี้ยงมีปัญหา โดยเฉพาะในครอบครัวเดี่ยว ซึ่งขณะนี้มีประมาณร้อยละ 30 ซึ่งโอกาสดูแลลูกมีน้อย เด็กจึงอยู่กับพี่เลี้ยงในสถานรับเลี้ยงเด็กและศูนย์เด็กเล็ก ซึ่งหากไม่มีการเล่านิทานหรือการเล่น พัฒนาการจะไม่เกิดขึ้น
      
       และ 3. คือ การใช้สื่อโทรทัศน์ หรือโทรศัพท์ประเภทสมาร์ทโฟนมาให้เด็กดูเกม หรือการ์ตูน เป็นเรื่องที่น่ากังวลมาก เพราะเด็กในวัย 3 ขวบแรก ควรหยุดการใช้สื่อ สิ่งที่ควรใช้ที่สุด ก็คือ การเล่านิทาน หรือการเล่น เป็นวิธีที่เด็กจะได้รับการกระตุ้นประสาทสัมผัสทั้งหมด การเล่านิทานจะเป็นการฝึกเด็กสร้างจินตนาการ ฝึกพัฒนาการของสมอง ในปี 2559 นี้ กรม สบส. ได้เน้นงานพัฒนาตำบลจัดการสุขภาพคนทุกกลุ่มวัย ได้จัดอบรม อสม. จำนวน 52,236 คน ให้มีความรู้และมีส่วนร่วม เป็นกำลังสำคัญในการเฝ้าระวังในชุมชน ร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ศูนย์เด็กเล็ก ผู้ปกครอง เพื่อดูแล กระตุ้นให้เด็กมีพัฒนาการสมวัย ครอบคลุมทุกตำบลทั่วประเทศ
      
       นพ.ประภาส จิตตาศิรินุวัตร รองอธิบดีกรม สบส. กล่าวว่า อสม. ที่เข้ารับการอบรมเรื่องการดูแลเด็กปฐมวัยอายุแรกเกิดถึง 5 ปี ใช้เวลาอบรมเพียง 1 วัน เน้นหนักที่การส่งเสริมพัฒนาการเด็กเล็ก สามารถค้นหา วิเคราะห์เด็กที่มีภาวะเสี่ยงได้ เช่น แม่ตั้งครรภ์ที่ยังเป็นวัยรุ่นที่ขาดการดูแลใส่ใจ หรือความรู้ในช่วงตั้งครรภ์ โดย อสม. จะติดตามเยี่ยมเด็กเกิดใหม่ทุกคน ค้นหาเด็กมีพัฒนาการล่าช้าให้ได้เร็วที่สุด ตามเทคนิควิชาการ หากพบว่าเด็กมีลักษณะไม่เหมาะสมตามวัย เช่น อายุ 1 - 3 เดือน เด็กดูดนมแม่ได้ไม่ดี ไม่จ้องหน้า ไม่มองตาม ไม่สบตา อายุ 2 ขวบ ยังบอกชื่อตัวเองไม่ได้ จะให้คำแนะนำพ่อแม่เพื่อกระตุ้นและส่งตรวจที่สถานบริการ ค้นหาหญิงตั้งครรภ์ใหม่ ให้ฝากครรภ์ก่อนอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ และแนะให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวจนอายุ 6 เดือน ให้พ่อแม่บันทึกการชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง ในสมุดบันทึก ฉีดวัคซีนตามนัด
      
       ทั้งนี้ เทคนิคการฝึกพัฒนาเด็กแก่พ่อแม่นั้น ผู้ปกครองที่ถูกต้อง คือ ต้องใจเย็น ไม่โมโห ไม่ขึ้นเสียง ไม่ตีเด็ก เมื่อเด็กทำได้ตามที่ฝึก ควรให้ความเอาใจใส่ คือ ชมเชยเด็ก ยิ้ม ปรบมือ กอด เพื่อให้เด็กมีกำลังใจที่จะฝึกต่อ ซึ่งจะทำให้แก้ไขพัฒนาการล่าช้าของเด็กได้สำเร็จ พัฒนาการ 5 ด้านที่สำคัญของชีวิตเด็กได้แก่ พัฒนาการด้านร่างกาย ด้านภาษาการสื่อสาร ด้านสติปัญญา ด้านสังคม และอารมณ์จิตใจ หากมีครบถ้วนจะเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ

 พบกับของเล่นเด็ก ของใช้เด็ก สินค้าน่ารักๆ ราคาถูกที่สุดได้ที่  
เด็ก พัฒนาการลูก เลี้ยงลูก เลี้ยงเด็ก ลูกน้อย พัฒนาการเด็ก ของเล่นเด็ก

ผู้ปกครองควรรู้! เด็กใช้ Tablet อย่างไรให้เกิดประโยชน์

ผู้ปกครองควรรู้! เด็กใช้ Tablet อย่างไรให้เกิดประโยชน์



        ในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา มีผลวิจัยมากมาย ที่ระบุว่า เด็กก่อนวัยเรียนได้รับผลข้างเคียงจากการเล่นแท็บเล็ต อาทิ ผลเสียต่อพัฒนาการด้านภาษา พัฒนาการด้านสังคม และพัฒนาการด้านอารมณ์ เนื่องจากอุปกรณ์เหล่านี้ทำให้เด็กก่อนวัยเรียนขาดการปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ขาดการเรียนรู้ เรื่องสำคัญที่จำเป็นจากสภาพแวดล้อม นอกจากนั้น การให้เด็กเล็กวัยต่ำกว่า 12 ขวบ อยู่กับแท็บเล็ตตามลำพัง ก็อาจเกิดความเสี่ยงให้เด็กมีสภาวะสมาธิสั้น และมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์

        ภัยเสี่ยงจากแท็บเล็ตต่อเด็กเหล่านี้ เชื่อว่า ผู้ปกครองจำนวนไม่น้อยได้เริ่มตระหนัก และสามารถรับมือได้แล้ว แต่ยังมีผู้ปกครองอีกมากมายที่เพิกเฉย หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์อย่างที่ได้เห็นในหนังโฆษณาล่าสุดชิ้นหนึ่ง ซึ่งหากมองลงไปให้ลึกอีกนิด จะเห็นว่า ตัวละครหลักอย่างพ่อแม่ของเด็กตัดสินใจซื้อแท็บเล็ตด้วยปริมาณเกมมากมายที่บรรจุอยู่ และซื้อเพื่อเป็นของเล่นให้ลูก โดยไม่ได้รับรู้ถึงความเหมาะสมต่อวัยของเด็ก รวมถึงผลเสียต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับเด็กในอนาคต เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นนับไม่ถ้วนในสังคมยุคใหม่ ซึ่งต้องปรบมือให้กับเจ้าของหนังโฆษณาที่กล้านำเสนอเรื่องราวในมุมมองเชิงลบ และถ่ายทอดให้ผู้คนได้เห็น หรือฉุกคิดถึงสิ่งเป็นอยู่จริงในสังคมยุคใหม่นี้
      
       สะท้อนสังคม : หนังโฆษณาเรื่องนี้ไม่เพียงนำเสนอความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของพ่อแม่ แต่ยังถ่ายทอดสิ่งที่ผู้ปกครองควรทำแทนที่การซื้อแท็บเล็ตเป็นของเล่นให้ลูกด้วย
      
            อย่างไรก็ดี งานวิจัยหลายฉบับได้เผยถึงวิธีการใช้งานแท็บเล็ตที่เหมาะสมเอาไว้ด้วย อาทิ ผู้ปกครองควรร่วมเล่นกับบุตรหลานในเวลาที่เหมาะสม ไม่นานจนเกินไป จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์พร้อมกับจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ดีกว่าปล่อยให้บุตรหลานใช้แท็บเล็ตตามลำพัง ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญและกุมารแพทย์บางท่าน แสดงความเห็นว่า เยาวชนควรมีอายุไม่ต่ำกว่า 12 ปี และได้รับการกำหนดระยะเวลาใช้งานแท็บเล็ต โดยระยะเวลาที่เหมาะสมอยู่ที่ 1 - 2 ชั่วโมงต่อวัน ที่สำคัญ พ่อแม่ผู้ปกครองต้องไม่ให้แท็บเล็ตมีความสำคัญ และบทบาทมากกว่าการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง หรือกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตจริง
      
       แนะนำว่า ผู้ปกครองควรพาบุตรหลานของท่านไปพบโลกกว้างภายนอก หรือพาไปทำกิจกรรมสนุก ๆ ที่มีสาระอื่น ๆ เพราะ แท็บเล็ตไม่ใช่อุปกรณ์ที่จะช่วยเสริมพัฒนาการของบุตรหลานได้ทั้งหมด แต่ผู้ปกครองเองต่างหากที่จะเป็นส่วนสำคัญในพัฒนาการของเจ้าตัวน้อย


พบกับของเล่นเด็ก ของใช้เด็ก สินค้าน่ารักๆ ราคาถูกที่สุดได้ที่  
เด็ก พัฒนาการลูก เลี้ยงลูก เลี้ยงเด็ก ลูกน้อย พัฒนาการเด็ก ของเล่นเด็ก



เลือกโรงเรียนให้ลูกอย่างไรดี ?

เลือกโรงเรียนให้ลูกอย่างไรดี ?
โรงเรียนอนุบาลมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมพัฒนาการ และเตรียมความพร้อมของลูกให้เติบโตไปสู่สังคมที่ใหญ่ขึ้น พ่อแม่หลายคนจึงกังวลใจว่า ควรเริ่มต้นเลือกโรงเรียนอย่างไร เพื่อให้ลูกเรียนอย่างมีความสุขที่สุด และตัวคุณเองก็สบายใจที่สุดเช่นกัน วันนี้เราจึงขอแบ่งปันความรู้ เปิดประตูสู่การเลือกโรงเรียนแรกของลูก เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ได้นำไปใช้เป็นแนวทางกันค่ะ

 

1. แนวการสอนแบบไหน ที่ “ใช่” สำหรับลูก

ก่อนจะตัดสินใจเลือกโรงเรียนใด คุณพ่อคุณแม่ควรทำการบ้านเกี่ยวกับแนวการสอนของโรงเรียนนั้นๆ  ไว้ให้ดี และพาเจ้าตัวน้อยไปสำรวจโรงเรียนด้วยทุกครั้ง เพื่อพิจารณาว่าเหมาะสมกับอุปนิสัย และลูกมีความชอบด้วยหรือไม่ ซึ่งในปัจจุบันแนวการเรียนการสอนในระดับปฐมวัยแบ่งเป็นประเภทต่างๆ  ได้ ดังนี้

โรงเรียนที่เน้นเร่งเรียนเขียนอ่าน เป็นโรงเรียนที่เน้นเรื่องวิชาการเป็นหลัก เด็กๆ ที่เรียนจบอนุบาล 3 จากโรงเรียนประเภทนี้ จะอ่านออกเขียนได้อย่างคล่องแคล่ว และสามารถนำความรู้ไปใช้สอบแข่งขันเข้าเรียนต่อในโรงเรียนระดับประถมศึกษาที่มุ่งหวังไว้

โรงเรียนทางเลือก เป็นโรงเรียนแนวบูรณาการ ที่เน้นเรื่องการเตรียมความพร้อม และส่งเสริมพัฒนาการต่างๆ ตามวัย จึงมักมีกิจกรรมให้เด็กๆ เล่นหรือทำทุกวัน และไม่เน้นเรื่องวิชาการมากนัก ซึ่งโรงเรียนทางเลือกก็ยังแยกย่อยตามปรัชญาการศึกษาที่ต่างกันไปอีก เช่น โรงเรียนแนววอลดอร์ฟ แนวมอนเตสเซอรี่ แนววิถีพุทธ แนวโครงการ แนวนีโออิวแมนนิส แนวไฮสโคป เป็นต้น ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการให้ลูกเรียนในโรงเรียนทางเลือกก็ควรศึกษารายละเอียดการเรียนการสอนของแต่ละแนวให้กระจ่างก่อนก็จะส่งผลดีแก่ลูกไม่น้อยทีเดียว

โรงเรียนสองภาษา หรือโรงเรียน Bilingual เป็นโรงเรียนที่สอนด้วยภาษาไทย และภาษาอังกฤษ โดยใช้หลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการเป็นหลัก ซึ่งบางโรงเรียนอาจมีภาษาจีนเสริมเข้าไปด้วย เน้นการเรียนวิชาการแบบปนเล่น มีกิจกรรมให้เด็กๆ ได้ปฏิบัติตลอด เพื่อฝึกฝนการใช้ภาษาให้คล่องแคล่วอยู่เสมอ

โรงเรียนนานาชาติ เป็นโรงเรียนที่ใช้หลักสูตรการศึกษาของต่างประเทศ ซึ่งมีทั้งหลักสูตรระบบอเมริกัน หลักสูตรระบบอังกฤษ และหลักสูตรเฉพาะของแต่ละชาติ ที่จะสอนโดยสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด เด็กที่เรียบจบในโรงเรียนนี้จะมีสำเนียงการพูดภาษาอังกฤษที่ชัดเจน แต่อาจจะใช้ภาษาไทยไม่คล่องเหมือนเด็กในโรงเรียนอื่นๆ


เลือกโรงเรียนให้ลูก


2. งบประมาณต้องรับได้ ค่าใช้จ่ายไม่สะดุด

เมื่อเลือกโรงเรียนที่มีแนวทางการศึกษาที่ตรงใจได้แล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องเตรียมเช็กค่าใช้จ่ายต่างๆ  ให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นค่าเทอม ค่าแรกเข้า ค่าชุดนักเรียน อุปกรณ์การเรียน หนังสือ ค่ากิจกรรมพิเศษต่างๆ ค่าอาหารกลางวัน ค่าเรียนพิเศษ ค่าดูแลลูกในช่วงหลังเลิกเรียน ค่ารถรับส่งในกรณีที่พ่อแม่ไม่สามารถไปรับส่งลูกได้เอง และนโยบายการชำระเงินว่าต้องจ่ายเป็นรายเทอม หรือรายปี ซึ่งบางแห่งสามารถแบ่งชำระเป็นรายเดือนได้อีกด้วย เพื่อให้สามารถวางแผนงบประมาณส่วนนี้ได้อย่างมีระบบ และควรเลือกโรงเรียนที่มีค่าใช้จ่ายเหมาะสมกับรายได้ของคุณพ่อคุณแม่ เพื่อไม่ทำให้ครอบครัวต้องสะดุดที่ต้องแบกรับภาระในเรื่องนี้อีกด้วย

3. ระยะทางเหมาะสม อารมณ์ดีเมื่อไปโรงเรียน

เป็นอีกเรื่องสำคัญที่ต้องคำนึงถึง โดยเฉพาะครอบครัวคนเมืองที่ต้องประสบกับการจราจรติดขัดทั้งตอนเช้าและตอนเย็น การเลือกโรงเรียนใกล้บ้าน ในกรณีที่บ้านมีคนอยู่ตลอด หรือใกล้ที่ทำงาน หากเป็นครอบครัวเดี่ยวที่คุณพ่อคุณแม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านทุกวัน ก็จะช่วยประหยัดเวลา และไม่ทำให้ลูกเหนื่อยในการเดินทาง ซึ่งก่อนจะเลือกโรงเรียนใด คุณพ่อคุณแม่ควรลองสำรวจเส้นทางในช่วงที่ต้องรับ-ส่งลูก เพื่อคำนวณเวลาที่ต้องใช้ในแต่ละวันให้ดี

4. ต้องปลอดภัย และสะอาด โภชนาการต้องดี

คุณพ่อคุณแม่ควรไปเยี่ยมชมสถานที่จริงว่า โรงเรียนให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้มากน้อยเพียงใด โดยสังเกตความเคร่งครัดของ รปภ. ในการตรวจสอบบุคคลภายนอกก่อนเข้าโรงเรียน ผู้ปกครองที่มารับลูกเองควรมีบัตรประจำตัวแสดงตนทุกครั้ง จำนวนกล้องวงจรปิดภายในโรงเรียนมีจำนวนเพียงพอและใช้งานได้จริง อาหารกลางวัน และอาหารว่างถูกหลักโภชนาการ อุปกรณ์ของใช้ที่เป็นของส่วนรวม เช่น ห้องน้ำ ตู้น้ำดื่ม จานชาม แก้วน้ำ ของเล่นต่างๆ  โต๊ะ เก้าอี้ อาคารเรียน ห้องเรียน ต้องสะอาดเรียบร้อย ไม่เป็นแหล่งก่อโรคติดต่อของเด็กๆ ถึงแม้จะเป็นเรื่องจุกจิก แต่รายละเอียดเหล่านี้ล้วนสำคัญที่จะทำให้ลูกเรียนรู้ได้อย่างมีความสุข ปลอดภัย และไม่เจ็บป่วยได้ง่ายเมื่อมาโรงเรียน

5. สิ่งแวดล้อมดี ลูกแฮปปี้ อยากไปเรียนทุกวัน

สังเกตได้จากการจัดบรรยากาศภายในโรงเรียนที่โปร่งสบาย ให้ความรู้สึกอบอุ่นเป็นกันเอง คุณครูยิ้มแย้มทักทายกับเด็กๆ มีสนามหญ้า หรือสนามเด็กเล่นให้เด็กได้เล่นร่วมกันกับเพื่อนในยามว่าง กิจกรรมการเรียนการสอนสนุกสนาน ไม่เคร่งเครียด อัตราส่วนของครูและนักเรียนมีความเหมาะสม อุปกรณ์ของเล่น หรือสื่อการเรียนการสอนมีความดึงดูด ไม่ชำรุด และสะอาด หากโรงเรียนใดมีสิ่งแวดล้อมที่ดีและน่าสนุกเช่นนี้ รับรองได้เลยว่า ลูกน้อยของคุณจะเรียกร้องให้ไปส่งที่โรงเรียนแทบทุกวันอย่างแน่นอน

เมื่อเลือกโรงเรียนได้แล้ว คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมให้ความสำคัญทั้งทางร่างกาย อารมณ์ และจิตใจของลูก เพื่อพร้อมรับสังคมใหม่ และเพื่อนใหม่ที่กำลังจะมาถึงด้วย โดยเฉพาะการดูแลเอาใส่ใจในเรื่องโภชนาการที่ถูกหลัก ซึ่งจะทำให้ลูกเติบโต แข็งแรง สดใส และมีพัฒนาการสมวัย พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพทุกวัน

…เพราะโภชนาการที่ดี คือ พื้นฐานที่ดีของลูกในทุกๆ ด้าน…




พบกับของเล่นเด็ก ของใช้เด็ก สินค้าน่ารักๆ ราคาถูกที่สุดได้ที่  
เด็ก พัฒนาการลูก เลี้ยงลูก เลี้ยงเด็ก ลูกน้อย พัฒนาการเด็ก ของเล่นเด็ก
โภชนาการที่ดีสำหรับเด็ก

สวมบทคุณพ่อฮีโร่! เมื่อต้องพาลูกน้อยไปข้างนอกของใช้อะไรบ้างที่ต้องเตรียมติดกระเป๋าไว้เอาใจลูกน้อย

สวมบทคุณพ่อฮีโร่! เมื่อต้องพาลูกน้อยไปข้างนอกของใช้อะไรบ้างที่ต้องเตรียมติดกระเป๋าไว้เอาใจลูกน้อย



คุณพ่อมือใหม่ นอกจากจะเป็นกำลังใจสำคัญให้กับคุณแม่ในการเลี้ยงลูกน้อยแล้ว ก็ต้องเป็นมืออาชีพในการจัดเตรียมของใช้จำเป็นสำหรับลูกน้อยด้วย เราจึงขอแนะนำของใช้ที่คุณพ่อมือใหม่ต้องมีติดกระเป๋า เพื่อใช้ช่วยดูแลเจ้าตัวน้อยได้สมกับเป็นคุณพ่อฮีโร่ มาฝากกัน

น้ำนมแม่
1. น้ำนมคุณแม่ แน่นอนว่าคุณพ่อมือใหม่ต้องจัดเตรียม “น้ำนมสำรอง” ของคุณแม่ติดตัวตลอดเวลา เพราะ “น้ำนมของคุณแม่” เป็นอาหารเพียงสิ่งเดียวที่ลูกน้อยของคุณรับประทานได้ และต้องเตรียมให้เพียงพอต่อการกินในแต่ละครั้งของลูกด้วย เพื่อไม่ให้ลูกน้อยของคุณงอแงในระหว่างวันนั่นเอง

ผ้าอ้อมสำเร็จรูป
2. ผ้าอ้อมสำเร็จรูป เป็นสิ่งที่คุณพ่อมือใหม่ลืมไม่ได้เลยทีเดียว เพราะในระหว่างวัน ลูกน้อยของคุณอาจจะขับถ่ายบ่อยครั้งต่อวัน จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมสำเร็จรูป ทุกๆ 3-4 ชั่วโมง และต้องพกสำรองให้เพียงพอต่อการใช้งานในแต่ละวันด้วย

3. ผ้าเช็ดทำความสะอาดผิวลูกน้อย (เบบี้ไวพส์) ตัวช่วยสำคัญที่จะช่วยคุณแม่ในการทำความสะอาดผิวของลูกน้อยสำหรับคุณพ่อมือใหม่ ซึ่งการเลือกผลิตภัณฑ์เบบี้ไวพส์นอกจากเพื่อความสะดวกแล้ว การเลือกเบบี้ไวพส์ที่ เหมาะสมกับการใช้งานและช่วงวัยก็สำคัญมาก เพื่อการดูแลผิวที่บอบบางที่เหมาะสมของลูกน้อย เช่น
เบบี้ไวพส์
– หากคุณพ่อมือใหม่มีเด็กวัยแรกเกิดถึง 6 เดือน ที่ขับถ่ายมากกว่า 10 ครั้งต่อวัน ต้องการการปกป้องผิวลูกน้อยจากผื่นผ้าอ้อม การเลือกเบบี้ไวพส์ที่มีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์จะทำให้ผิวลูกน้อยสะอาด ชุ่มชื้นอย่างอ่อนโยน

เบบี้ไวพส์
-และสำหรับคุณพ่อที่มีลูกน้อย วัย 6 เดือนขึ้นไป ที่กำลังเป็นวัยเริ่มหยิบจับ หัดกิน ก็ต้องเลือกใช้เบบี้ไวพส์ที่เหมาะสมกับช่วงวัยนี้ ด้วยเบบี้ไวพส์ที่มีส่วนผสมที่ผลิตจากผักและผลไม้100% (Food Grade 100%) จะทำให้คุณพ่อมั่นใจได้เมื่อใช้เช็ดมือและเช็ดปากลูกน้อยได้ดีกว่ากระดาษทำความสะอาดชนิดอื่นๆ

ของเล่นชิ้นโปรด
4. ของเล่นชิ้นโปรด เป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับคุณพ่อมือใหม่ในช่วงที่เขาเกิดอาการงอแง หรือไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ ของเล่นจะช่วยคลายอารมณ์หงุดหงิดของเจ้าตัวน้อย พร้อมทั้งได้เพิ่มทักษะพัฒนาการในการเล่นของลูกน้อย รวมทั้งเพิ่มสัมพันธภาพใกล้ชิดระหว่างคุณพ่อและลูกน้อยได้มากขึ้นอีกด้วย

ชุดสำรอง
5. ชุดสำรอง สิ่งของที่สำคัญในกรณีที่ลูกน้อยของคุณมีอาการสำรอกนมหรือขับถ่ายจนเลอะเปรอะเปื้อน คุณพ่อมือใหม่จึงจำเป็นจะต้องพกชุดของลูกน้อยเผื่อไว้ยามฉุกเฉินประมาณ 1- 2 ชุด เพื่อนำไปใช้เปลี่ยนในระหว่างวัน และทำให้ลูกน้อยของคุณไม่มอมแมมด้วย และอย่าลืมพกถุงพลาสติกไว้ใส่เสื้อผ้าที่เลอะเปรอะเปื้อนด้วยนะคะ

แค่นี้คุณพ่อมือใหม่ทุกคนก็เตรียมของใช้ได้อย่างมือโปรแล้ว ได้เอาใจทั้งคุณแม่และลูกน้อย
ไปพร้อมๆ กัน สมกับตำแหน่ง “คุณพ่อซุปเปอร์ฮีโร่”แล้วสนับสนุนให้คุณพ่อทุกคนเป็นฮีโร่ของครอบครัวค่ะ


พบกับของเล่นเด็ก ของใช้เด็ก สินค้าน่ารักๆ ราคาถูกที่สุดได้ที่  
เด็ก พัฒนาการลูก เลี้ยงลูก เลี้ยงเด็ก ลูกน้อย พัฒนาการเด็ก ของเล่นเด็ก

5 เรื่องเกี่ยวกับเด็กแรกเกิดที่พ่อแม่ทุกคนต้องรู้


โดยปกติแล้วเด็กแรกเกิดต้องทานนมแม่ทุกๆ 2-3 ชั่วโมง คุณแม่หลายคนมักกังวลกลัวเรื่องลูกทานไม่อิ่ม ถ้าขณะให้นมคุณแม่ไม่ทราบจริงๆ ว่าลูกอิ่มหรือยัง วิธีที่ง่ายที่สุดคือ การสังเกตอาการของลูก เมื่ออิ่มทารกหลายคนจะเบนหน้าออกจากหน้าอกแม่เอง หรือถ้าหากดูไม่รู้จริงๆ ให้สังเกตจากผ้าอ้อม ถ้าเปลี่ยนผ้าอ้อม 6-8 ครั้งต่อวัน นั่นคือลูกของคุณทานนมเพียงพอแล้ว

1. ดูว่าลูกอิ่มหรือยังจากจำนวนผ้าอ้อม
โดยปกติแล้วเด็กแรกเกิดต้องทานนมแม่ทุกๆ 2-3 ชั่วโมง คุณแม่หลายคนมักกังวลกลัวเรื่องลูกทานไม่อิ่ม ถ้าขณะให้นมคุณแม่ไม่ทราบจริงๆ ว่าลูกอิ่มหรือยัง วิธีที่ง่ายที่สุดคือ การสังเกตอาการของลูก เมื่ออิ่มทารกหลายคนจะเบนหน้าออกจากหน้าอกแม่เอง หรือถ้าหากดูไม่รู้จริงๆ ให้สังเกตจากผ้าอ้อม ถ้าเปลี่ยนผ้าอ้อม 6-8 ครั้งต่อวัน นั่นคือลูกของคุณทานนมเพียงพอแล้ว
หลังอาบน้ำให้เด็กแรกเกิดเสร็จแล้ว อย่าลืมซับบริเวณสายสะดือลูกให้แห้ง โดยเฉพาะบริเวณใต้สะดือ เพื่อไม่ให้น้ำขัง แล้วใช้แอลกอฮอล์ 70% เช็ดสะดือลูกด้วย เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ที่สำคัญคือควรปล่อยให้สายสะดือหลุดไปเองโดยธรรมชาติ
สำหรับเด็กแรกเกิด ในช่วงแรกอาจมีผิวนุ่ม แต่สภาพผิวอาจจะเปลี่ยนไปได้ในตอนหลัง โดย Laura Jana กุมารแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ ได้ให้คำอธิบายง่าย ๆ ว่า "ลองนึกภาพคุณเองถ้าต้องอยู่ในน้ำเปียก ๆ หรือผิวของคุณเปียกชุ่มมาตลอด 9 เดือน แล้วจู่ ๆ ต้องออกมาเจออากาศ ผิวของเด็กทารกก็เหมือนกันนั่นแหละ ถ้าเห็นว่าผิวของลูกแห้งหรือลอกนิดหน่อย คุณไม่จำเป็นต้องทำอะไร หากกังวลจริง ๆ ก็ทาครีมและโลชั่นสำหรับเด็กทารกโดยเฉพาะให้ก็ได้"
พยายามใส่ใจเรื่องสุขอนามัยและเรื่องความสะอาดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าพาลูกออกไปเผชิญกับแสดงแดด คนป่วย และฝูงชน พยายามบอกให้ทุกคนสัมผัสเท้าลูก แทนที่จะจับมือและหน้าหรือไม่ก็ต้องล้างมือก่อนสัมผัสตัวเด็ก
เด็กแรกเกิดมักต้องการทานนมทุกๆ 2-3 ชั่วโมง และนั่นเองเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าตัวน้อยหลับนานๆ ไม่ได้ โดยมากแล้วกว่าทารกจะหลับนาน ๆ ได้มากกว่า 6 ชั่วโมง ก็ต้องเป็นหลังอายุ 3 เดือนไปแล้ว
รู้แล้วอย่าลืมทำตาม เพื่อให้พ่อแม่และลูกมีความสุขในทุกๆ วันนะคะ

พบกับของเล่นเด็ก ของใช้เด็ก สินค้าน่ารักๆ ราคาถูกที่สุดได้ที่  
เด็ก พัฒนาการลูก เลี้ยงลูก เลี้ยงเด็ก ลูกน้อย พัฒนาการเด็ก ของเล่นเด็ก


อย่ามองเป็นเรื่องเล็กน้อย พฤติกรรมแย่ๆ ที่แม่ต้องรีบหยุด!

ความประพฤติที่ไม่เหมาะสมแม้เพียงเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องตลก และพ่อแม่ไม่ควรจะมองข้าม แต่ต้องรีบหยุดก่อนจะสาย

อย่ามองเป็นเรื่องเล็กน้อยพฤติกรรมแย่ๆที่แม่ต้องรีบหยุด
หน้าที่ของพ่อแม่มีเยอะแยะมากมาย ทำให้หลายๆ ครั้งมองข้ามในบางเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องพฤติกรรมของลูก แน่นอนว่าพ่อแม่ไม่ได้มีเวลาดูแลลูกในทุกๆ อย่าง แต่รู้หรือเปล่าว่าพฤติกรรมบางอย่าง หรือมารยาทที่ควรสั่งสอน เป็นสิ่งที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจจะส่งผลเสียต่อตัวลูกในอนาคต

1.ล้อเลียนพ่อแม่ หรือพูดจาอวดดี

พ่อแม่มักจะเพิกเฉยเวลาที่ลูกล้อเลียน เช่น กรอกตาไปมา แลบลิ้นปลิ้นตา พูดล้อเลียนหรือพูดจาอวดดี เพราะมองว่า ลูกทำแป๊บเดียว เดี๋ยวลูกก็เลิก แต่เปล่าเลย การที่ลูกแสดงออกกับพ่อแม่อย่างนี้ แสดงว่าลูกคิดว่าพ่อแม่ไม่ได้มีอำนาจเหนือเขา ถ้าไม่รีบแก้ไขตั้งแต่ตอนนี้ ลูกก็จะไม่เคารพพ่อแม่ ทั้งยังส่งผลเป็นพฤติกรรมด้านลบต่อผู้ใหญ่คนอื่นๆ และคุณครู ซึ่งจะสร้างความปวดหัวให้พ่อแม่อย่างแน่นอน
วิธีกำราบเด็กที่มีพฤติกรรมล้อเลียน ไม่ใช่ดุด่าว่ากล่าว แต่เลือกใช้วิธีที่นุ่มนวลอย่างเช่น เมื่อลูกล้อเลียนเวลาคุณสั่งให้ทำอะไร คุณก็เดินหนีไปเลย หรือพูดกับลูกว่า “แม่ไม่ได้ยินเลยว่าลูกพูดอะไร เวลาลูกพูดจาแบบนี้ ทำไมไม่พูดจาดีๆ” ถ้าแม่เลือกใช้คำพูดที่เหมาะสม จะช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของลูกได้ดีกว่าการดุด่าอย่างไม่มีเหตุผล

2.ขัดจังหวะเวลากำลังพูดอยู่

เมื่อลูกๆ รู้สึกตื่นเต้นที่จะบอกอะไรบางอย่าง ลูกจะไม่สนใจเลยว่าพ่อแม่กำลังพูดอะไรอยู่ การปล่อยให้ลูกขัดจังหวะไปเรื่อยๆ ดูจะไม่เป็นอะไร แต่จริงๆ แล้ว ทำให้เด็กเข้าใจว่า การไม่เกรงใจคนอื่นเป็นเรื่องที่ทำได้ แล้วก็จะเรียกความสนใจจากคนอื่นด้วยการขัดจังหวะ ไม่ยอมอดทนรอให้คนอื่นพูดจบก่อน
พ่อแม่ต้องสอนลูกว่าการขัดจังหวะเวลาที่คนอื่นพูดเป็นสิ่งไม่ดี ต้องรอให้คนอื่นพูดจบก่อนแล้วค่อยพูด ไม่ใช่พูดแทรกขึ้นมา เพราะการพูดแทรกเป็นพฤติกรรมที่ไม่น่ารักเลย และไม่มีใครชอบเวลาที่ถูกขัดจังหวะ ต้องย้ำด้วยว่าสิ่งที่ลูกทำนั้นหยาบคาย พ่อแม่ไม่ต้องการให้ลูกทำอย่างนี้

3.ลูกเล่นเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวและชอบเล่นแผลงๆ

เด็กๆ เล่นกันเสียงดังเป็นเรื่องธรรมดา…นี่ไม่ใช่ความคิดที่ดีแน่ๆ การที่ลูกเล่นเสียงดังเอะอะโวยวายอย่างไม่เกรงใจคนอื่นๆ ส่งผลให้ลูกติดพฤติกรรมที่ไม่ดี และอาจกลายเป็นคนกร้าวร้าวในที่สุด ถ้าลูกเริ่มเล่นอะไรเกินเลย พ่อแม่ต้องจับตาให้ดี ยิ่งลูกเล่นอะไรแผลงๆ ก็ต้องอบรม เพราะลูกอาจเข้าใจว่า การทำให้คนอื่นเจ็บตัวนั้นเป็นเรื่องสนุก ทำได้ และไม่ผิด
ถ้าลูกเริ่มทำตัวก้าวร้าว เล่นรุนแรงกับเพื่อนๆ หรือมีพฤติกรรมที่หยาบคาย พ่อแม่ต้องรีบเข้าไปหยุดในทันที พร้อมกับสอนลูกว่า ทำอะไรได้อย่างนั้น ถ้าลูกอยากให้คนอื่นเล่นด้วยดีๆ ไม่แกล้งลูก ลูกก็ต้องดูแลคนอื่นให้ดีเช่นกัน ต้องย้ำชัดๆ ว่า การเล่นอะไรแผลงๆ จะทำให้คนอื่นเดือดร้อน พ่อแม่ไม่ชอบที่ลูกทำให้คนอื่นเจ็บตัว

4.แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่พ่อแม่พูด

เวลาที่คุณต้องพูดอะไรซ้ำๆ เพราะลูกไม่ยอมฟังสิ่งที่คุณพูด ห้ามปล่อยผ่านเด็ดขาด เพราะนั่นจะทำให้ลูกคิดว่าสามารถฝ่าฝืนคำสั่งหรือไม่ใส่ใจคุณก็ได้ และนี่คือพฤติกรรมท้าทาย ถ้าไม่หยุดตั้งแต่ตอนนี้ ลูกก็จะไม่เชื่อฟังคุณอีก
ถ้าลูกทำเป็นเฉยเมยเวลาคุณสั่งให้ทำอะไร พ่อแม่ต้องมองหน้าลูก จ้องตาลูก พูดในสิ่งที่ต้องการให้ลูกทำ จนกว่าลูกจะเข้าใจ แต่ถ้าลูกยังไม่ยอมฟัง ก็บอกลูกว่าสิ่งที่ลูกทำนั้นเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดี แล้วลูกจะต้องเจอกับอะไร

5.ลูกพูดจาเกินจริง

เชื่อไหมว่า ลูกมักจะพูดจาเกินจริงบ่อยกว่าที่คุณคิด เช่น ตอนที่พ่อแม่สั่งให้ลูกจัดเตียง แล้วลูกตอบว่า ทำแล้ว ซึ่งความจริงคือแค่พับผ้าห่มแบบลวกๆ นี่คือการพูดเกินจริง ดูๆ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร แต่แม่รู้หรือเปล่าว่า การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการไม่เคารพ โตขึ้นลูกจะกลายเป็นคนโกหก และเป็นคนไม่ซื่อสัตย์
ลูกจะโกหกเพราะมองว่าการโกหกเป็นสิ่งง่ายๆ ที่ทำให้ตัวเขาดูดีขึ้น แถมยังไม่ต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ หรือแม้แต่โกหกเพื่อปกปิดสิ่งที่ลูกทำไปแล้ว วิธีแก้นิสัยนี้ ลองจับผิดคำโกหกของลูกดู บอกลูกว่าแม่รู้ความจริงทั้งหมด ขอให้ลูกสารภาพมา แล้วสอนลูกเรื่องการโกหกว่าเป็นสิ่งไม่ดี ยิ่งทำบ่อยๆ เข้าก็จะไม่มีใครเชื่อคำพูดของลูก เช่นเดียวกับนิทานเรื่อง เด็กเลี้ยงแกะ

พฤติกรรมแย่ๆ ที่ดูเหมือนไม่มีอะไรของลูก แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พ่อแม่ก็ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจจะส่งผลต่อนิสัยในอนาคตได้ รีบแก้นิสัยเสียของลูกตั้งแต่เล็กๆ จะดีกว่า

พบกับของเล่นเด็ก ของใช้เด็ก สินค้าน่ารักๆ ราคาถูกที่สุดได้ที่  
เด็ก พัฒนาการลูก เลี้ยงลูก เลี้ยงเด็ก ลูกน้อย พัฒนาการเด็ก ของเล่นเด็ก

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

7 เรื่องที่ไม่มีใครบอกเกี่ยวกับการมีลูก

7 เรื่องที่ไม่มีใครบอกเกี่ยวกับการมีลูก

Denise คุณแม่วัย 40 ปีได้ถ่ายทอดประสบการณ์เกี่ยวกับการมีลูกไว้ในบล็อกของเธอ หากคุณกำลังจะมีลูก นี่คือสิ่งที่่คุณจะต้องเตรียมตัวเตรียมใจ ภาระอันยิ่งใหญ่กำลังรอคุณอยู่

การมีลูก
ตอนฉันท้องลูกคนแรก เพื่อน ๆ และญาติ ๆ ต่างกรอกหูฉันว่าเราจะไม่ได้นอนไปอีก 18 ปีนับตั้งแต่วันที่เจ้าตัวน้อยลืมตาดูโลก เราจะลืมเรื่องสุขอนามัยส่วนตัวไปโดยสิ้นเชิง และจะเริ่มหมกมุ่นกับเรื่องการขับถ่ายของลูก บทความต่าง ๆ ตามเว็บไซต์หรือนิตยสารทั้งหลายที่ฉันอ่านต่างก็ตอกย้ำความจริงทั้งหลายเหล่านี้ แต่กระนั้นก็ยังมีบางเรื่องที่คนรอบ ๆ ตัวคุณมักลืมที่จะบอกคุณ
  1. เวลาส่วนตัวเหรอ? ลืมไปได้เลย!
เด็ก ๆ จะรู้โดยสัญชาตญาณว่าเมื่อไหร่ที่คุณต้องการเวลาส่วนตัว แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงต้องการเวลาอยู่คนเดียว (หรือกับสามี) เด็ก ๆ จึงรู้สึกเหมือนเป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่จะต้องอยู่เป็นเพื่อนคุณตลอดเวลา ไม่เว้นแม้แต่ตอนที่คุณเข้าห้องน้ำ เราขอแนะนำให้ล็อกประตูซะ (ไม่ได้ล้อเล่นนะ)
  1. พื้นที่ส่วนตัว
เด็กทารกไม่รู้จักคำว่าพื้นที่ส่วนตัว พวกเขาจึงไม่สนใจว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรเวลาที่เขาปีนป่ายตะกายไปบนหน้าของคุณ ลูกสาววัยสามขวบของฉันชื่นชอบการโชว์ก้นเป็นพิเศษ บ่อยครั้งฉันจึงมีโอกาสได้มองก้นน้อย ๆ ของเธออย่างใกล้ชิดเกินความจำเป็น ยังไม่นับลูกคนเล็กที่ไม่เข้าใจว่าการนั่งบนหน้าคุณแม่อาจทำให้คุณแม่หายใจไม่ออกได้
  1. กินอะไรอยู่ แบ่งหนูเดี๋ยวนี้!
ลูก ๆ ของฉันมีความสามารถพิเศษในการแย่งของกิน เวลาที่ฉันอยากกินอะไรสักอย่างที่ฉันชอบโดยไม่แบ่งเด็ก ๆ ฉันต้องเข้าไปแอบกินในห้องน้ำและล็อกประตู  (กลับไปดูข้อ 1) หรือไม่ก็ต้องแอบกินหลังจากที่เด็ก ๆ หลับแล้วเท่านั้น ซึ่งกว่าพวกเขาจะหลับ ก็มักจะเลย 3 ทุ่มไปแล้ว ฉันจึงแอบกินได้ไม่บ่อยนัก แม้แต่อาหารกลางวัน ฉันก็ต้องรอจนกว่าเด็ก ๆ จะนอนกลางวันเสียก่อน จึงจะกินได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีมือน้อย ๆ มาคว้าอาหารไปจากจาน
  1. ของของคุณ = ของของลูก
อย่างน้อยลูกของคุณก็คิดอย่างนั้น ฉันเคยเก็บของบางอย่าง เช่น ที่รองแก้ว หนังสือ หรือปากกา ไว้ในลิ้นชักโต๊ะ แต่ปัจจุบันมันได้กลายเป็นของเล่นของเด็ก ๆ ไปเสียแล้ว ฉันต้องพยายามหาที่ซ่อนใหม่ ๆ เพื่อซ่อนของให้พ้นมือเด็ก ๆ ส่วนข้าวของที่ไม่เหมาะสำหรับเด็กก็คงต้องหาที่ซ่อนถาวรกันยาว ๆ ต่อไป
  1. เสียสติแน่ ๆ ไม่ต้องห่วง
ความขี้หลงขี้ลืมในช่วงตั้งครรภ์ที่ว่าหนักแล้ว ยังเทียบไม่ได้กับช่วงที่เริ่มคุณแม่เต็มตัว คุณควรตั้งสติดี ๆ และค่อย ๆ จัดการชีวิตไปทีละอย่างจะดีกว่า
  1. ต้องมีเจ็บตัวกันบ้าง
เตรียมรับมือกับเจ้าตัวเล็กที่พร้อมจะทำร้ายร่างกายคุณทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นหัวโขก โดนฟาดปาก หรือโดนเหยียบหน้า ฉันค่อนข้างประหลาดใจด้วยซ้ำที่ฉันยังไม่มีรอยฟกช้ำบนหน้า สามีของฉันถึงขั้นคิดจะซื้อเครื่องป้องกันให้จริงจังเลยทีเดียว
  1. หน้าอกคุณจะไม่มีวันเหมือนเดิม
เราไม่ได้กำลังพูดถึงความหย่อนยานที่เกิดขึ้นหลังการคลอด แต่เรากำลังพูดถึงการถูกเด็ก ๆ เกาะ ดึง เหยียบ ทึ้ง ถู และอื่น ๆ อีกสารพัดสิ่ง
แต่แม้ว่าเจ้าตัวแสบทั้งหลายจะทำให้ฉันกับสามีทรมานแค่ไหน เราก็ตั้งใจว่าเราจะมีลูก อีกคนอยู่ดี!
     พบกับของเล่นเด็ก ของใช้เด็ก สินค้าน่ารักๆ ราคาถูกที่สุดได้ที่  
      เด็ก พัฒนาการลูก เลี้ยงลูก เลี้ยงเด็ก ลูกน้อย พัฒนาการเด็ก ของเล่นเด็ก

ลูกนอนหลับดีตลอดคืน จะส่งผลต่อสมองและพัฒนาการร่างกายอย่างไร

ลูกนอนหลับดีตลอดคืน จะส่งผลต่อสมองและพัฒนาการร่างกายอย่างไร


แชร์บทความนี้ให้เพื่อน

ลูกนอนหลับดีตลอดคืน จะส่งผลต่อสมองและพัฒนาการร่างกายอย่างไร คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเล็ก และกำลังมีข้อสงสัยในเรื่องการนอนของลูก ทีมงานดิเอเชี่ยนพาเร้นท์ มีคำตอบในเรื่องนี้มาฝากกันค่ะ

คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกวัยทารก จะสังเกตเห็นได้ว่าลูกมักจะนอนหลับตลอดเวลา และจะตื่นขึ้นมาเพื่อทานนมเท่านั้น  เด็กทารกแรกเกิดจะยังไม่รู้จักเวลากลางวัน กลางคืน ทำให้การนอนของลูกไม่เป็นเวลา ไปดูกันว่าลูกวัยทารกนอนวันละกี่ชั่วโมง
  • ทารกแรกเกิดจนถึงอายุ 2 เดือน : จะนอนวันละ 16-20 ชั่วโมง
  • เมื่อลูกอายุได้ 2-3 เดือน : จะนอนวันละ 15-18 ชั่วโมงต่อวัน
  • เมื่อลูกอายุได้ 4-6 เดือน : จะนอนกลางคืน  9-12  ชั่วโมง
  • เมื่อลูกอายุได้ 7-8 เดือน : จะนอนกลางคืน 10-12 ชั่วโมง และนอนกลางวัน 1-2 ครั้ง
  • เมื่อลูกอายุได้ 9-12 เดือน : จะนอนกลางคืน 11-12 ชั่วโมง และนอนกลางวัน 1-2 ครั้ง
  • เมื่อลูกอายุได้ 1-2 ขวบ : จะนอนกลางคืน 11-12 ชั่วโมง และนอนกลางวัน 1 ครั้ง

พอทราบกันคร่าวๆ แล้วใช่ไหมคะว่าลูกรักของคุณพ่อคุณแม่ใช้เวลาการนอนในแต่ละช่วงวัยกันเท่าไหร่ โดยเฉพาะการนอนกลางคืนของลูก ซึ่งต้องบอกว่าเป็นช่วงการนอนที่สำคัญมากๆ เพราะการนอนหลับกลางคืนหากเป็นการนอนหลับที่ได้คุณภาพ ก็จะส่งผลดีต่อพัฒนาการทางด้านร่างกาย และสมองของลูกได้อย่างดีเยี่ยม

การนอนกลางคืนที่ได้คุณภาพส่งผลดีต่อลูกน้อยอย่างไร ?

การนอนกลางคืนของเด็กจะแบ่งออกเป็นสองแบบ คือ ช่วงการนอนฝัน และช่วงการนอนหลับลึก ในช่วงการนอนฝัน ดวงตาของลูกจะปิดสนิท ลูกนัยน์ตาจะกลอกไปมาภายใต้เปลือกตา จะเรียกการนอนในช่วงนี้ว่า Rapid eye movement(REM) เป็นช่วงการนอนหลับที่เลือดจะถูกส่งขึ้นไปเลี้ยงสมองเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลดีต่อความสามารถในการเรียนรู้ของลูกน้อย นั่นคือเมื่อลูกตื่นนอนขึ้นมาในตอนเช้า ลูกจะสดชื่นและตื่นตัวเกิดความสามารถในการเรียนรู้ และจัดการกับข้อมูลต่างๆ  ที่ได้รับตลอดวัน มีไหวพริบ มีความสามารถในการเรียนรู้สูง
ส่วนช่วงการนอนหลับลึกของลูก จะเป็นช่วงที่ร่างกายจะซ่อมแซมตัวเอง เลือดจะถูกส่งไปเลี้ยงกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย และในช่วงการนอนหลับลึกนี้ร่างกายจะหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormones) ออกมา ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยสร้างการเจริบเติบโตให้กับเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย  ทำให้ลูกมีพัฒนาการทางร่างกายที่เติบโตได้อย่างสมวัยนั่นเองค่ะ

เคล็ดลับช่วยให้ลูกน้อยนอนหลับกลางคืนได้อย่างมีคุณภาพ

  • ควรจัดสิ่งแวดล้อมในห้องนอนลูกให้โล่ง สะอาด อากาศถ่ายเทได้สะดวก อุณหภูมิภายในห้องนอนต้องไม่ร้อน และไม่หนาวเกินไป หากเปิดเครื่องปรับอากาศ ควรปรับอุณหภูมิห้องให้อยู่ที่ประมาณ 25 องศา แต่หากเปิดพัดลมให้ลูก ควรปรับพัดลมเป็นแบบส่าย ไม่ควรจ่อผัดลมไปที่ตัวหรือศีรษะลูกอย่างเดียว
  • ห้องนอนลูกต้องเงียบ ไม่มีเสียงรบกวน และไม่เปิดไฟให้แสงไฟสว่างเกินไป เพราะแสงไฟจะไปรบกวนการนอนหลับของลูก คุณแม่อาจเปิดเป็นโคมไฟเล็กๆ ได้ เพราะแสงไม่สว่างจ้ามากนัก
  • คุณแม่ควรเลือกชุดนอนให้ลูกที่มีเนื้อผ้านุ่ม เบาสบาย ที่ไม่ระคายเคืองต่อผิวของลูก ทั้งนี้เพื่อเป็นการถนอมเนื้อผ้าและยังคงความนุ่มเมื่อสัมผัสกับผิวของลูกน้อย  แนะนำให้คุณแม่ซักทำความสะอาดเสื้อผ้าชุดนอนของลูกน้อยด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ตามด้วยน้ำยาปรับผ้านุ่มสำหรับเสื้อผ้าเด็กโดยเฉพาะเพื่อถนอมความนุ่มของผ้าที่ใช้  คุณแม่ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่มสำหรับเสื้อผ้าเด็กอ่อน ที่ผ่านการทดสอบทางผิวหนังจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ/สถาบันทางผิวหนัง ที่ระบุว่า อ่อนโยนต่อผิว (“Baby Gentle”)  การที่ลูกได้สวมใส่เสื้อผ้าที่ได้รับการดูแลถนอมเนื้อผ้ามาอย่างดี จะช่วยให้ลูกนอนหลับได้อย่างมีคุณภาพตลอดคืนค่ะ
พบกับของเล่นเด็ก ของใช้เด็ก สินค้าน่ารักๆ ราคาถูกที่สุดได้ที่            https://store.weloveshopping.com/prae-wa
เด็ก พัฒนาการลูก เลี้ยงลูก เลี้ยงเด็ก ลูกน้อย พัฒนาการเด็ก ของเล่นเด็ก

สิ่งที่แม่ท้องควรหลีกเลี่ยงถ้าไม่อยากให้ทารกพิการ

สิ่งที่แม่ท้องควรหลีกเลี่ยงถ้าไม่อยากให้ทารกพิการ


แน่นอนว่า  คุณพ่อคุณแม่ทุกคนย่อมปรารถนาให้ลูกคลอดออกมาครบสมบูรณ์ทั้ง 32 ประการ  การดูแลครรภ์อย่างถูกต้อง  และหลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อทารกในครรภ์เสี่ยงพิการ  มีอะไรบ้าง ติดตามอ่าน

1. การดื่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์

แม่ท้องที่ติดเหล้าหรือดื่มเหล้ามากขณะตั้งครรภ์  จะทำให้เสี่ยงเกิดการแท้งได้มาก และเด็กตายระหว่างคลอดเพิ่มขึ้น เด็กในครรภ์เกิดอาการที่เรียกว่า ฟีตอลแอลกอฮอล์ซินโดรม (Fetal alcohol syndrome) คือ มีความพิการของส่วนศีรษะ, หน้า, แขน, ขา, และหัวใจ การเจริญเติบโตในครรภ์ช้าผิดปกติ อาจเป็นเด็กปัญญาอ่อน (Mental retardation) เด็กแรกคลอดบางรายจะแสดงอาการขาดเหล้า (Alcohol withdrawal) เช่น มีการร้องกวน ดิ้นและกระวนกระวายตลอดเวลา

2. แม่ท้องสูบบุหรี่

แม่ท้องที่สูบบุหรี่หรือ ได้รับสารเคมีในบุหรี่ จะทำลายโครโมโซมของทารก   ทำให้ทารกตายแรกคลอด หรือทำให้ทารกเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ มีน้ำหนัก  ส่วนสูง  รอบอกและรอบศีรษะต่ำกว่าเกณฑ์  ระบบประสาท  ระบบการหายใจและหลอดเลือด พบว่า  มีปัญหาในระบบทางเดินหายใจ ภายหลังคลอดทันทีและมีแนวโน้มจะเป็นโรคหอบหืดเมื่อโตขึ้น  มีอาการปวดท้อง  โคลิก (colic) อาเจียน  ท้องเสีย  ลำไส้อักเสบ  กระสับกระส่าย  นอนหลับพักผ่อนน้อย มีอาการเหมือนคนขาดยา  มีความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะแต่กำเนิดและเมื่อโตขึ้นเด็กอาจเจ็บป่วย ด้วยโรคมะเร็งในระบบต่าง ๆ ภายหลังคลอดทารกยังได้รับสารเคมีผ่านทางน้ำนมแม่อีกถ้าหากแม่ยังไม่เลิกสูบ บุหรี่

3. แม่ท้องขาดโฟเลต

ศ.เกียรติคุณ พญ.พรสวรรค์ วสันต์ นายกสมาคมเพื่อเด็กพิการแต่กำเนิด (ประเทศไทย) กล่าวถึง   ประโยชน์ของการทานโฟเลตของแม่ท้องว่า  การรับประทาน “โฟเลต” สามารถป้องกันความพิการแต่กำเนิดได้เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น หลอดประสาทไม่ปิด โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด โรคปากแหว่งเพดานโหว่ แขนขาพิการแต่กำเนิด เป็นต้น
คำแนะนำจากคุณหมอ : การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การเตรียมความพร้อมก่อนตั้งครรภ์ ทานโฟเลต ก่อน 2-3 เดือน และได้รับต่อเนื่องไปถึงใน 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ เพราะ 28 วันแรกหลังจากปฏิสนธิมีความสำคัญมาก เป็นช่วงที่สร้างระบบประสาท และระบบอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย และถ้าให้ดี ควรทานตั้งแต่วัยเจริญพันธุ์ อายุ 15-16 ปี เพราะ 50 เปอร์เซ็นต์ของการตั้งครรภ์มักไม่ได้วางแผนล่วงหน้า โฟเลตจึงมีความสำคัญมาก การมาทานหลังตั้งครรภ์แล้วอาจสายเกินไป”

4. การได้รับยาบางชนิดที่มีผลต่อทารก

ระหว่างที่ตั้งครรภ์แม่ท้องอาจเจ็บป่วย   และจำเป็นต้องใช้ยาบางอย่างรักษา   ยานั้นอาจเป็นพิษต่ออวัยวะของทารกในครรภ์ได้ เช่นคาควินิน ยาแอสไพริน ยาสเตร็ปโตมัยซิน และยาเพนนิซิลิน เป็นต้น  แม่ท้องควรระมัดระวังในการใช้ยาให้มากที่สุด  เพราะยาสามารถซึมผ่านรก ไปยังทารกในครรภ์ได้โดยง่าย  อันตรายที่ร้ายแรงมากในแม่ท้อง  การรับประทานยาที่มีผลทำให้ทารกในครรภ์พิการ โดยเฉพาะระยะ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ และใกล้คลอด  นอกจากนี้ยังมียาอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงต่อทารก  ได้แก่  ยาแก้อาเจียน แพ้ท้อง พวกธาลิโดไมด์ จะมีผลทำให้ทารกคลอดออดมาพิการ แขนขากุด มีโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด  ยากันชักพวกไฮแดนโทอิน มีผลทำให้ทารกที่คลอดออกมาหน้าแปลก ตัวเล็ก สติปัญญาอ่อน

5. สารเคมีอันตราย

การได้รับสารเคมีบางชนิดขณะตั้งครรภ์   สามารถทำให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ ดังนั้น แม่ท้องควรหลีกเลี่ยงการสูดดม  หรือกินสารใด ๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ  เพราะสารที่ได้รับเข้าไปในร่างกายอาจมีผลทำให้ทารกเกิดมามีอาการผิดปรกติ ได้  เช่น
1. แม่ท้องที่ได้รับสารดีบุกจำนวนมากจะมีอัตราการแท้งสูง
2. การได้รับสารปรอทมีผลทำให้ทารกมีอาการพิการทางสมอง มีศีรษะลีบเล็ก ไม่เจริญเติบโต เป็นต้น
3. การที่ได้รับรังสีเอ็กซ์ (X – ray) มากเกินไป จะก่อให้เกิดการเจริญที่ผิดปรกติของทารกในครรภ์ได้ ดังนั้น  หากต้องมีการตรวจรักษาด้วยการเอ็กซ์เรย์  (X – ray)  ต้องแจ้งคุณหมอทราบทุกครั้งว่ากำลังตั้งครรภ์อยู่เพื่อความปลอดภัยของทารกใน ครรภ์
6. การติดเชื้อ
หากแม่ท้องได้รับเชื้อโรคบางอย่าง เช่น เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคหัดเยอรมัน เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ เชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคซิฟิลิส โกโนเรีย เข้าสู่ร่างกาย เชื้อโรคดังกล่าวก็จะแพร่กระจายตามกระแสเลือดเข้าสู่ตัวอ่อน มีผลต่อทารกในครรภ์ทำให้ทารกที่คลอดออกมาพิการได้ ตัวอย่างเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดความพิการแต่กำเนิด ได้แก่
1. เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคหัดเยอรมัน เชื้อโรคนี้จะแพร่ไปตามกระแสเลือดไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายและเข้าสู่ตัวอ่อนไปทำลายกลุ่มเซลล์ที่จะเจริญไปเป็นอวัยวะ บางอย่างของตัวอ่อน เช่น ตา หู หัวใจ จึงอาจมีผลทำให้ทารกที่คลอดออกมาตาบอด หูหนวก และหัวใจพิการได้  โดยเฉพาะถ้าแม่ท้องเป็นโรคหัดเยอรมันในช่วงตั้งครรภ์ได้ 2– 3 เดือน
2. เชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคซิฟิลิส   แม่ท้องที่ เป็นโรคซิฟิลิสและไม่ได้รับการรักษา จะทำให้แท้งหรือเด็กเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์  หรือเกิดมาเป็นซิฟิลิสเนื่องจากได้รับเชื้อดังกล่าวเข้าไป โดยเด็กจะมีอาการบวม ซีดเหลือง ผิวหนังลอก รวมทั้งอาการพิการ เช่น หูหนวกได้
3. เชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคโกโนเรีย   แม่ ท้องที่เป็นโรคโกโนเรียขณะที่คลอดเชื้อโรคอาจเข้าตาเด็กทำให้ตาบอดได้ ดังนั้น เมื่อเด็กคลอดออกมาจึงมีการหยอดตาเด็กด้วยยาฆ่าเชื้อโรค   สำหรับผู้หญิงที่เป็นโรคนี้เรื้อรัง  อาจมีอาการอักเสบของปีกมดลูก ทำให้ไข่เดินมาสู่โพรงมดลูกไม่สะดวก   จึงเป็นสาเหตุให้เกิดมีการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้
4. เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ แม่ท้องที่เป็นโรคเอดส์ สามารถถ่ายทอดเชื้อเอดส์ไปยังลูกได้ทางกระแสเลือด โดยทารกอาจได้รับเชื้อจากแม่ที่เป็นโรคเอดส์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์  หรือติดเชื้อขณะคลอด ซึ่งทำให้ทารกมีอาการสมองติดเชื้อ และปอดบวม แต่ส่วนใหญ่ทารกจะไม่ปรากฏอาการ จะปรากฏอาการเมื่อทารกอายุประมาณ 6 – 8 เดือน โดยมีน้ำหนักตัวลด ไม่เติบโตตามปรกติ ท้องร่วงเรื้อรัง ตับและม้ามโต เป็นต้น
เมื่อคุณแม่ทราบสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเช่นนี้แล้ว  และปฏิบัติตนตามที่ได้รับคำแนะนำ  จะมีส่วนช่วยป้องกันความพิการของทารกในครรภ์ได้เป็นอย่างดี

พบกับของเล่นเด็ก ของใช้เด็ก สินค้าน่ารักๆ ราคาถูกที่สุดได้ที่  
เด็ก พัฒนาการลูก เลี้ยงลูก เลี้ยงเด็ก ลูกน้อย พัฒนาการเด็ก ของเล่นเด็ก